ดราม่าผสมแฟนตาซี

ดราม่าผสมแฟนตาซี เดอะ อันเดอร์กราวด์ เรลโรด ซีรีส์ระดับมาสเตอร์พีซแนวดราม่าเรียลแฟนตาซีสมัยทาส

ดราม่าผสมแฟนตาซี เดอะ อันเดอร์กราวด์ เรลโรด ทางลับ ทางทาส ลิมิเต็ดซีรีส์ 10 ตอนสุดท้าย ของแอมะซอนไพรม์

ดราม่าผสมแฟนตาซี ผลงานจากผู้กำกับ แบร์รี เจนคินส์ ผู้ได้รับรางวัลอะคาเดมี 3 รางวัลจากมูนไลท์ รวมทั้งอิงนิยายที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ซึ่งแต่งโดยโคลสัน ไวท์เฮด เล่าถึงความดิ้นรนเสาะหาเสรีภาพของสาวนิโกร คอร่า แรนดัล ในตอนใต้อดีตการศึก ภายหลังแอบหนีออกมาจากไร่ในหน้าจอร์เจียเพื่อไปที่ทางรถไฟใต้ดินตามกระแสข่าวลือ คอร่าก็ศึกษาและทำการค้นพบว่ามันไม่ใช่เป็นเพียงแต่คำอุปมา แม้กระนั้นมีรางรถไฟอยู่ใต้พื้นดินของเมืองตอนใต้จริง ๆ

ซีรีส์ย้อนยุคแฟนตาซีแบบเหมือนจริงจากผู้กำกับแบร์รีที่ดูแลหนังอาร์ตทุนต่ำอย่างมูนไลท์ จนได้รางวัลออสการ์ในปี 2560 ปีเดียวกับลาลาแลนด์ รวมทั้งมีการอ่านผลรางวัลไม่ถูกเรื่องกระทั่งเป็นที่คนหาหลายชนิดตามมาว่ามูนไลท์ มีสมรรถนะสมกับรางวัลใช่หรือไม่ ซึ่งมาในประเด็นนี้ เดอะ อันเดอร์กราวด์ เรลโรด ได้พิสูจน์ความรู้ความเข้าใจของผู้กำกับอย่างเป็นที่ปรากฏชัดเจนว่า เขาเป็นผู้กำกับผิวสีที่มีสมรรถนะเด่นในทุกทางของกระบวนการทำภาพยนตร์หรือซีรีส์ที่เล่าของคนดำออกมาได้แปลกใหม่ งดงาม

แล้วก็ยังสะท้อนถึงเรื่องจริงหัวข้อการดูถูกชนชั้นสีผิวคนผิวดำที่ยังคงอยู่ในอเมริกามิได้หายไปไหน ซึ่งผลงานหัวข้อนี้ก็มี แบรด พิตต์ เป็นเยี่ยมในโปรดิวเซอร์ด้วย แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นซีรีส์ขวัญใจนักวิพากษ์วิจารณ์แบบมากมายเกือบจะเป็นเอกฉันท์ว่า นี่เป็นหนึ่งในซีรีส์คนดำที่สุดยอดแทบจะไม่มีที่ติ ซึ่งนักเขียนเองข้างหลังมองจบก็เห็นด้วยทุกสิ่ง เนื่องจากถึงแม้เรื่องราวบางครั้งอาจจะมิได้สนุกสนานสุด ๆ เพราะเหตุว่าเป็นแถวดราม่าสะเทือนจิตใจหนัก ๆ แม้กระนั้นก็จะต้องเห็นด้วยว่านี่เป็นซีรีส์ที่ถึงแม้ต้องการจะติก็ยังยากที่จะหาที่ตำหนิได้ ก็เลยเหลือเพียงทางของหัวข้อนี้จะคลิ๊กกับผู้ชมแต่ละคนได้ขนาดไหนแค่นั้น

ดราม่าผสมแฟนตาซี

ดราม่าผสมแฟนตาซี นี่ไม่ใช่ซีรีส์ดราม่าปกติ แต่ว่าผสมเรียลแฟนตาซี

ถ้าเกิดมองจากแบบอย่างหรืออ่านเรื่องย่อก็บางครั้งก็อาจจะรู้สึกว่าเกิดเรื่องดราม่าคนผิวดำสมัยทาส ใช้ทั่ว ๆ ไป แม้กระนั้นอันที่จริงแล้วหัวข้อนี้เป็นแถวแฟนตาซีที่ถือเอาการทางรถไฟที่อยู่ใต้ดินปัญหาที่วิ่งไปหลายเมืองทางด้านใตนในอเมริกา สมัยก่อนสงครามกลางเมือง ที่มีรัฐทาส ข้อบังคับทาสต่างกันออกไปในแต่ละเมือง ซึ่งตัวรถไฟ ทางลับใต้ดิน เจ้าหน้าที่รถไฟ

ในประเด็นนี้เป็นส่วนของความแฟนตาซีย้อนยุคที่เสมือนเป็นจินตนาการของการหนีออกมาจากชีวิตทาสทางเดียวของนิโกร (ในเรื่องยังคงใช้คำนี้เป็นหลัก) ซึ่งในตอนแรกจะราวกับเพียงแค่เรื่องเล่า แต่ว่าพอเพียงจบทีแรก ๆ รวมทั้งขึ้นในตอนที่ 2 ผู้ชมจะได้มองเห็นเมืองเซาท์แคโรไลนาในแบบที่ประหลาดตา นำสมัยแบบย้อนยุค ต่างจากเมืองจอร์เจียในตอนเริ่มเรื่องเลย ซึ่งนี่เป็นเค้าเรื่องหลักของซีรีส์หัวข้อนี้ เป็นการเสี่ยงอันตรายไปในแต่ละเมืองของนางเอกคอร่า สาวนิโกรที่หลบซ่อนหนีผ่านทางรถไฟที่อยู่ใต้ดินไปหลายเมืองเยอะที่สุดที่เคยมีมา

ซึ่งแต่ละเมืองก็จะมีความโหดวิปริตของคนผิวขาวไม่เหมือนกัน โดยเป็นทั้งยังข้อบังคับบังคับและก็แนวทางปฏิบัติที่ผิดแผก ซึ่งคอร่าจำเป็นต้องพบกับโศกการฟ้อนรำแบบไม่ซ้ำกันเลย ซึ่งนี่เป็นความเด่นของประเด็นนี้ เกิดเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ที่ถูกถ่ายทอดผ่านความแฟนตาซีแบบเหมือนจริง จวบจนกระทั่งผู้ที่มองในอเมริกาข้างคนผิวขาวเองยังจำต้องออกมารีวิวย้ำว่านี่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ ซึ่งก็ใช่

แม้กระนั้นหัวข้อนี้เป็นเปรียบเสมือนบันทึกครึ่งหนึ่งประวัติศาสตร์ที่ผู้กำกับตั้งอกตั้งใจถ่ายทอดออกมาในแบบแฟนตาซีนิด ๆ เพื่อพาผู้แสดงไปพบกับความต่ำช้าร้ายหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์โลกของประเทศอเมริกา ประเทศที่สร้างขึ้นจากการนองเลือดข่มเหงคนดำและก็อินเดียแดง ที่ถึงแม้ตอนนี้บางทีก็อาจจะเหลือเพียงการดูถูกผิวที่ฯลฯตอของข้อบังคับข่มขี่คนผิวดำในสมัยก่อน แต่ว่าก็ไม่สามารถที่จะไม่ยอมรับได้ว่าลึก ๆ แล้วความรู้สึกนี้ก็ไม่เคยเลือนลางจางหายไปเลย ข่าวหนังใหม่

ซีรีส์ในทุกตอนจะมีการดำเนินเรื่องนางเอกคอร่าจะต้องพบกับคนผิวขาวที่ป่าเถื่อนโหดร้าย ทำเสมือนราวกับเธอไม่ใช่มนุษย์ เป็นสัตว์ใช้แรงงานมากยิ่งกว่า จะทำเช่นไรกับมันก็ได้ แม้กระทั้งการฆ่าทิ้งเล่น ๆ จากเหตุดำเนินการบกพร่องหน่อยเดียว หรือเอาไปทดสอบอะไรพิลึกจนกระทั่งตายก็ไม่ผิด ซึ่งคนผิวขาวในสมัยนั้นใช้ข้อบังคับมาเป็นตัวควบคุมบังคับทาส ให้จะต้องเอาอย่าง แล้วก็มีสถานะเป็นสินทรัพย์ของผู้ว่าจ้าง

ซึ่งคอร่าเองเป็นหญิงวัยรุ่นกำพร้าแม่ ซึ่งแม่ของเธอก็หนีหายไปตอนเด็ก โดยลือกันว่าหนีไปกับทางรถไฟที่อยู่ใต้ดิน ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เธอจะต้องหนีเมื่อได้โอกาส และเจอทางรถไฟที่อยู่ใต้ดินจริง ๆ ก่อนจะไปพบนายท่าทุก ๆ ที่เป็นคนผิวขาวที่เห็นอกเห็นใจช่วยเหลือทาส ที่หนีมา แม้กระนั้นก็เป็นราวกับแกะดำท่ามกลางแกะขาว คนผิวขาวในเมืองนั้น มิได้ดูทาสเป็นคน แล้วก็ยิ่งคอร่าหนีมาพอ ๆ กับไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นผู้ต้องขังยิ่งมีโทษหนักรวมทั้งแปลงเป็นทาสอันตราย ด้วยเหตุว่าพลั้งมือฆ่าคนผิวขาวที่มาจับเธอไปในช่วงต้นเรื่อง

ซึ่งเรื่องราวหลักที่ดำเนินไปพร้อมกันกับคอร่าเป็น “อาร์โนล” นักแสดงนักล่าทาสหลบซ่อน ที่มีลูกมือเป็นนิโกรคนแคระ ทั้งคู่คนจะมีบทตามล่าคอร่าไปทุกเมืองที่เธอหนีไปเรื่อยแม้กระนั้นตัวอาร์โนลเองก็มีตอนที่เล่าราวของเขาว่ามาเป็นนักล่าทาส แอบหนีได้ยังไง ซึ่งหากว่าผู้ชมบางครั้งอาจจะรู้สึกไม่ชอบความประพฤติปฏิบัติของเขา แต่ว่าโดยเนื้อแท้แล้วเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่เลวทรามพอ ๆ กับคนผิวขาวอื่น ๆ ในเรื่องที่ชั่วร้ายกว่า อาร์โนลแค่เพียงปรารถนารักษาข้อบังคับ

ซึ่งความเกี่ยวข้องกับคนช่วยคนแคระแกร็นนิโกรที่ให้ดวงใจอาร์โนลแบบหมดใจ หากแม้เขาจะเป็นอิสระ มิได้เป็นทาสและจากนั้นก็ตาม ซึ่งนี่เป็นเรื่องราวที่มีสองด้านแบบเหรียญสองหน้าตลอด ผู้ชมบางครั้งก็อาจจะรู้สึกทุกข์ใจช็อคกับการกระทำที่เกิดขึ้นมาจากฝีมือมนุษย์ขาวในเรื่อง แต่ว่าในอีกมุมมองก็จะได้มองเห็นรวมทั้งรู้เรื่องมุมมองคนผิวขาวโหดเหี้ยม ๆ เหล่านี้เพราะ เพราะเหตุไรพวกเขาถึงเปลี่ยนมาเป็นคนอย่างงี้ไปได้ (แอบรู้สึกว่าราวกับและไม่ได้ไม่เหมือนกับนาซีฆ่าชาวยิวเลย)

ประวัติสำคัญบาจโจ

ระบบประชาธิปไตยในโลกของนิโกรในอเมริกา

ตัวเรื่องบากบั่นนำผู้ชมไปค้นหาคำตอบของจุดเริ่มต้นของระบบประชาธิปไตยที่จริงจริงในอเมริกา ซึ่งในเวลานั้นแม้ว่าจะมีความมานะบากบั่นดูแลด้วยการเลือกตั้ง แม้กระนั้นคนผิวขาวแค่นั้นที่มีสิทธิอันนี้ แม้กระทั้งคนผิวดำที่เป็นอิสระจากการไถ่คืนตนเองก็ไม่มีสิทธิ ซึ่งเรื่องชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างข่มเหงของระบบประชาธิปไตยเลียนแบบ จากมุมมองคนผิวขาวที่นับว่าตนเองมีสิทธิทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างสำหรับการบัญญัติกฎหมายอะไรก็แล้วแต่ก็ได้ตามเพื่อได้เอกสิทธิเหนือกว่าคนผิวดำ

ตอน 9 ผู้ชมจะได้มองเห็นฉากโหวตของชุมชนผิวดำ โดยมีหัวหน้าสองผู้ที่ดูเรื่องแตกต่างกัน รวมทั้งต่างก็มานะทักทายให้คนดำในชุมชนเห็นภาพตาม ซึ่งเรื่องครีเอทฉากครึ่งหนึ่งปราศรับกึ่งโต้เถียงของคนผิวดำในแบบที่ไม่ได้มีความแตกต่างจากผู้มีอารยะคัดค้านกันในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในสมัยนั้นคนผิวดำไม่มีสิทธิอันนี้ แม้กระทั้งจะคิดหรืออ่านหนังสือออกก็เกิดเรื่องต้องห้าม ซึ่งฉากนี้เองแปลงเป็นฉากไฮไลท์ที่น่าจำที่สุดของเรื่องเลยก็ว่าได้ งานภาพซีรีส์หัวข้อนี้งามสะดุดตาเกินหน้าเกินตาเรื่องราวในเรื่องเสียด้วยซ้ำ

บ่อยหลายฉากที่เต็มไปด้วยอารมณ์เศร้าสร้อยร้ายแรง แต่ว่าภาพที่ออกมากลับงดงามตัดกับอารมณ์ในช่วงเวลานั้นได้อย่างพอดี โดยมีดนตรีประกอบเป็นเสียงไวโอลินนี่ลากอารมณ์ของเรื่องให้จมลงไปพร้อมด้วยงานภาพได้อย่างสุด ๆ ตัวเรื่องเปิดมาด้วยการบอกเล่าว่าแม่ของนางเอกล่องหนทิ้งบุตรสาวตัวน้อยเอาไว้ในไร่แรงงานทาส อย่างไม่ใยดี โดยไม่มีผู้ใดเจอร่องรอยการล่องหนไปของเธอเลย

ซึ่งอาร์โนลนักล่าทาสมือชั้นยอดก็ยังติดคาใจว่านี่เป็นรอยด่างของอาชีพเขา เมื่อรับงานมาแล้วกลับหาตัวไม่พบ ซึ่งทำให้อาร์โนลตามล่านางเอกอย่างไม่ลดละ โดยที่ตัวคอร่าเองก็มีเงื่อนจากแม่ที่หายไปโดยไม่แจ้ง แม้กระนั้นก็ยังเก็บเม็ดกระเจี๊ยบของแม่ไว้กับตัวเป็นทั้งยังของต่างหน้าแล้วก็คำมั่นสัญญาว่าจะนำไปปลูกไว้ในที่ ๆ สามารถดำรงชีวิตได้อย่างสงบเงียบ ซึ่งเงื่อนนี้จะถูกค้างไว้นานมาก โดยไม่มีการเฉลยคำตอบเลยจนกระทั่งในขณะที่ตอน 10

เรื่องราวถึงจะหวนกลับที่อดีตกาลของแม่คอร่า และก็การล่องหนไปของเธอ ซึ่งเชิญสะเทือนขวัญอยู่ไม่น้อย ซีรีส์ประเด็นนี้แทบจะไม่มีที่ติเตียนเลยจริง ๆ จะมีก็แม้กระนั้นส่วนที่บางทีอาจจะเรียกว่าทำให้เรื่องมองน่าอึดอัดแอบอ่อนเพลียกับดราม่าลากยาวหนัก ๆ ก็คือตอนตั้งแต่ตอน 5 ไปถึงตอน 8 (นอกจากตอน 7 เป็นตอนพิเศษสั้น ๆ ของนักแสดงสมทบคนหนึ่งเพียงแค่ 20 นาทีแทรกมา) ประวัติสำคัญบาจโจ

ซึ่งตอน 1-4 ดำเนินเรื่องไปด้วยขึ้นรถไฟไปแต่ละเมือง ทำให้แต่ละตอนมองแปลกใหม่น่าติดตาม แต่ว่าพอเพียงตอน 5 ตัวเรื่องเสนอแบบพลิกกลับมาเล่นเรื่องภูมิหลังของอาร์โนลนักล่าทาส ใช้แอบหนี แล้วก็ถัดมาเป็นตอน ๆ ที่คอร่าโดนจับพากลับไป เรื่องราวเดี๋ยวนี้แปลงเป็นลากดราม่าที่จัดเต็มยาว ซึ่งผู้ชมที่กำลังติดตามการเสี่ยงอันตรายของคอร่าไปเมืองใหม่ ๆ บางทีอาจจะมีความคิดว่าเรื่องไม่ถูกแผนการที่พึงพอใจเรื่องเมืองทาส ในทีแรก ๆ ไปหน่อย

ซึ่งแม้ว่าจะรู้เรื่องได้ว่าเพราะเหตุใดควรมีระยะนี้ แต่ว่าก็ทำให้ผู้ชมคิดว่าเรื่องตอนนี้ยืด ๆ กระทั่งแอบน่าระอา แต่ว่าตัวเรื่องก็ไม่ผิดอะไรเพราะเหตุว่าแม้ว่าจะมองยืด ๆ แต่ว่าก็เป็นตอน ๆ ที่ทำให้มองเห็นมุมมองอีกด้านของคนผิวขาวอย่างอาร์โนล ที่ลิขิตชะตากรรมตนเองด้วยการมาทำอาชีพนี้ แม้ว่าจะมิได้เหยียดเกลียดคนผิวดำมากมาย เพราะครอบครัวอาร์โนลเองอยู่ร่วมกับคนผิวดำที่มีอิสรภาพแบบธรรมดา

เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ในสมัยนั้นก็ยังมีผู้ที่เห็นค่าของผู้คนเสมอภาคคงเหลืออยู่ ที่เล่นก้าวหน้ามากมาย ๆ เรื่องราวที่สะท้อนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ได้อย่างน่าสยอง ไม่มีความต่างกับหนังนาซีฆ่าชาวยิว งานภาพงามดูเหมือนจะทุกซีน ดนตรีประกอบตื่นเต้นบาดหัวใจ นี่เป็นซีรีส์ที่แทบจะไม่มีที่ติ ดูเหมือนจะทุกส่วนประกอบเป็นแทบจะเปอร์เฟ็กต์จากความสามารถผู้กำกับ แบร์รี เจนคินส์ ที่ทำหนังมูนไลท์ ได้ออสการ์มาก่อน

อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีจุดอ่อนเล็ก ๆ เป็นตัวเรื่องอัดดราม่าเข้ามาหนักมากมาย ๆ ตลอดระยะเวลา แต่ว่าถ้าเกิดผู้ใดกันถูกใจหรือคร่ำครวญหาแนวดราม่าชั้นเลิศ นี่เป็นผลงานประสิทธิภาพระดับมาสเตอร์พีชของแอมะซอน ไพรม์ เรื่องหนึ่ง รวมทั้งน่าจะเป็นซีรีส์ที่ปัดกวาดรางวัลจำนวนมากถัดไปแน่ ๆ