ดัดแปลงจากโควิด19 ในโลกอนาคตปี 2024 เมื่อเชื้อไวรัสโควิด 23 ระบาดรุนแรงเริ่มกลายพันธุ์ แล้วก็เอาชีวิตผู้คนไป ๆ มา ๆ กกว่า 110 ล้านรายทั้งโลก
ดัดแปลงจากโควิด19 แม้กระนั้นแล้วหายนะก็มีขึ้นกับ นิโก (เคเจ อาปา) ผู้ชายผู้มีภูมิต้านทาน เมื่อ ซารา (โซเฟีย คาร์สัน) แฟนสาวของเขาที่ไม่เคยได้โอกาสเจอะกันอีกเลยนับจากเกิดเหตุเชื้อไวรัสระบาด กำลังจะถูกข้าราชการบุกมาถึงบ้านพักด้านในไม่กี่ชั่วโมงข้างหลังถูกสงสัยว่าติดเชื้อโรค
นิโกก็เลยจำต้องรีบเดินทางฝ่ามฤตยูเชื้อไวรัสล้างโลกนี้ พร้อมทำทุกช่องทางเพื่อช่วยซาร่าให้ได้ก่อนที่จะทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างจะสายเหลือเกิน ปี2020 (แล้วก็คงจะปีนี้ด้วย) เป็นปีที่ความจากกันโศกศัลย์และก็วินาศวายป่วงของแวดวงภาพยนตร์จริง ๆ
ไม่น่าเชื่อว่า โควิด-19 จากเชื้อไวรัสตัวหนึ่งจะมีผลให้อีกทั้งแวดวงภาพยนตร์จะต้องหยุดชะงักตั้งแต่การถ่ายทำ ส่วนเรื่องไหนที่ทำทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างเสร็จแล้ว ก็จะต้องมาสะดุดด้วยเหตุว่าโรงภาพยนต์ปิด ไหมถ้าเกิดกัดฟันฝีนฉาย ก็มีโอกาสในการเสี่ยงเจ๊งไม่คุ้มค่าการลงทุนอีก เนื่องจากผู้ชมไม่ค่อยกล้าออกไปนั่งในโรงภาพยนต์
เป็นพูดได้ว่าพิการอ่อนเพลียกันอีกทั้งอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้นน้ำจนกระทั่งปลายน้ำเลย แม้กระนั้นหากแม้คนภายในอุตสาหกรรมหนังคนจำนวนไม่น้อยจะขยาดกับโควิด-19 เท่าไร แม้กระนั้นก็ยังมีคนกรุ๊ปหนึ่ง ที่นำโดยผู้อำนวยการผลิตมีชื่อเสียงอย่างไมเคิล เบย์ ผู้กำกับ อาร์มาเก็ดดอน (1998), เพิร์ล ฮาร์เบอร์ (2001), คืนอำมหิต (2013) และก็แฟรนไชส์หุ่นยนต์ตีกัน ทรานส์ฟอร์มเมอร์ส (2007-2017)
เป็นไม่มั่นใจเช่นกันว่าแกคิดอย่างไร เพราะเหตุว่าตอนโควิดระบาด แทนที่พี่เบย์จะพักกองในตอนล็อกดาวน์เพื่อไม่ให้มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดโควิด พี่เอ็งดันต้องการใช้เมืองลอสแองเจลิสที่กำลังเงียบสงบจากมาตรการล็อกดาวน์ในปีที่ผ่านมา เป็นโลเกชันสำคัญ ๆ สำหรับในการถ่ายทำรวมทั้งเป็นฉากเดินเรื่อง เพื่อได้บรรยากาศล็อกดาวน์ที่สมจริงสมจัง ข่าวหนังใหม่
แม้กระนั้นแน่ ๆ ล่ะ ผู้ใดกันแน่มันจะไปอนุญาต 555 จวบจนกระทั่งสุดท้าย คณะทำงานก็ได้อนุญาตให้ถ่ายทำ โดยคณะทำงานได้เลือกลอสแองเจลิสเป็นสถานที่เดียวสำหรับในการถ่ายทำ รวมทั้งใช้เวลาถ่ายทำเพียงแต่ 4 เดือน พูดได้ว่าเปลี่ยนเป็นหนังเรื่องแรก ๆ เลยที่ถ่ายเสร็จข้างหลังตอนการล็อกดาวน์
โชคยังดีที่ไม่มีผู้ใดในกองถ่ายทำหนังประเด็นนี้ชิงติดโควิด-19 ไปก่อนที่จะโควิด 23 จะมาถึงจริง ๆ พล็อตสั้น ๆ ของหนังเรื่อง “นกร้อง” ก็คือโลกในอีก 3-4 ด้านหน้านี่แหละนะครับ ในปี 2024 แน่ ๆ ว่าเชื้อไวรัสโควิดยังคงอยู่ แถมเปลี่ยนพันธ์ุในชื่อใหม่ว่าโควิด-23 ที่รุนแรงกว่าเดิม
ผู้ตายไปนับร้อยล้านคน ก็เลยจำเป็นต้องประกาศล็อกดาวน์แล้วก็การใช้เคอร์ฟิว จำกัดพื้นที่ คนติดโรคจำต้องถูกคุมตัวส่งไปอยู่ในคิวโซน ค่ายกักขังแบบปิดตาย รวมทั้งห้ามสามัญชนออกนอกเคหะสถานที่โดยไม่จำเป็น ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันโควิด 23 ที่มีป้ายข้อมือสีเหลืองที่มีแถบเก็บข้อมูลดิจิทัลเพียงแค่นั้นถึงจะมีสิทธิ์ออกนอกบ้าน หรือนอกพื้นที่ได้ แล้วก็รัฐบาลมีสิทธิ์ใช้มาตรการร้ายแรงเข้ากำจัดโดยเด็ดขาดได้ตลอดเวลาสำหรับคนที่ฝืน
ดัดแปลงจากโควิด19 ผู้แสดงหลักของเรื่องก็คือพ่อหนุ่มนิโก บุคลากรส่งของด้วยรถจักรยานผู้มีภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัส
ที่ได้เจอรักกับซารา หญิงสาวในอพาร์ตเมนต์ที่อาศัยอยู่กับคุณยาย แม้กระนั้นทั้งสองไม่อาจจะออกมาเจอะกัน หรือมีชมรมทางร่างกายได้อีกเลยตั้งแต่แมื่อประกาศล็อกดาวน์ จนกระทั่งเมื่อวันหนึ่ง ซาราถูกสงสัยว่าบางทีอาจติดเชื้อโรคโควิด 23 นิโกก็เลยต้องหาทางช่วยซาราให้รอดพ้นจากเงื้อมมือการควบคุมของภาครัฐที่โคตรเอาจริงเอาจัง หนีออกไปจากลอสแองเจลิสให้ได้
กับจะต้องพบเจอกับเหตุการณ์บีบคั้นของการไล่ล่า การควบคุม และก็เชื้อโควิด 23 ที่รุนแรงในระดับที่หากติดก็ทำใจได้เลยว่าถูกตายแน่นอนด้านใน 48 ชั่วโมง จริง ๆ
ตัวหนังมานะที่จะขับเน้นย้ำความเป็นไซไฟ-ดิสโทเปียที่บวกความโรแมนติกเข้าไป ซึ่งเอาจริงเอาจัง ๆ มีความรู้สึกว่า มันมีประสิทธิภาพพอที่จะมีผลให้มันเปลี่ยนเป็นหนังบล็อกบัสเตอร์ที่มองสนุกสนานแล้วก็ขมักเขม้นได้ครับ
สิ่งที่ว่าเยี่ยมเลยสำหรับหนังประเด็นนี้เป็น การจับเอากิมมิกจากเหตุการณ์โควิด-19 รวมทั้งธีมของนิวนอร์มัล มาต่อยอดให้มีความเป็นไซไฟได้น่าดึงดูดและก็ใกล้ตัวมากมาย ๆ การคิดต่อยอดว่า ในอนาคตอีก 3-4 ปีด้านหน้า ชีวิตและก็เทคโนโลยีที่พวกเราใช้มันจะเป็นยังไงบ้าง การตรวจค้นเชื้อไวรัสจะล้ำสมัยโคตร ๆ ประเภทที่ใช้สมาร์ตโฟนสแกนหน้าก็ตรวจได้ หรือตู้รับจดหมายถัดไปจะติดระบบแสงอัลตราไวโอเลตเพื่อทำลายเชื้อไวรัสได้ และก็เปิดได้จากอีกทั้งในแล้วก็นอกบ้านเพื่อลดการเข้าออกบ้านโดยไม่จำเป็น
ในช่วงเวลาที่ถัดไป การสัมผัส การประสานมือ การกอด การจุมพิต หรือแม้กระทั้งมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่รู้จัก จะเปลี่ยนเป็นเรื่องย้อนยุค ที่ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยคร่ำครวญหา แม้กระนั้นไม่กล้าทำ รวมทั้งการควบคุมตัวของภาครัฐที่บากบั่นควบคุมโรคด้วยมาตรการขั้นร้ายแรง การควบคุมตัวคนติดเชื้อไวรัสเข้าสถานกักกันที่ภาวะเหี้ยมโหดอำมหิตมากกว่าตาราง เรื่องที่น่าดึงดูดใจ
นี่นับว่าเป็นจุดที่รู้สึกว่า น่าดึงดูดมากมาย รวมทั้งมีความรู้สึกว่า ถ้าหากโควิด-19 มันยังระบาด อีกหน่อยภาวะชีวิตรวมทั้งชาติบ้านเมืองก็คงราวนี้แหละ เพียงแต่ว่า เพียงพอมีความจำกัดอะไรหลาย ๆ อย่างเข้ามา ทั้งยังการถ่ายทำที่รีบร้อน และก็ด้วยตัวหนังที่มิได้ยาวมากสักเท่าไรนัก สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ตัวหนังครึ่งแรกของหนังค่อนจะย้ำไปที่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปูเรื่องให้มองเห็นความเป็นนิวนอร์มัล ในสมัยปี 2024 ที่มีกลิ่นดิสโทเปีย-ไซไฟ
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเล่าความประพฤติปฏิบัติของคนภายในสมัยนั้นว่าจะต้องทำอะไรบ้าง ชีวิตถึงจะปลอดเชื้อโรคเชื้อไวรัส อาทิเช่น ทุกคนจำเป็นจะต้องใช้สมาร์ตโฟนสแกนตรวจค้นเชื้อไวรัสแม้ว่าจะอยู่แต่ว่าในบ้าน ทุกคนจะต้องล้างมือ มืดจำต้องเข้าบ้าน ไม่อย่างนั้นถูกจับข้อกล่าวหาฝืนเคอร์ฟิว
โลกโซเชียลจะแปลงเป็นอูปกรณ์ที่มีไว้สำหรับการติดต่อสื่อสารที่ธรรมดามากมาย ๆ ซึ่งทั้งหมดทั้งปวงนี้ นิดหน่อยก็มองน่าดึงดูดดี แต่ว่านิดหน่อยก็มองน่ารำคาญราวกับกำลังมองคลิปข่าวสาร หรือคลิปสาระน่าสนใจในยูทูบ
กระทั่งหนังเริ่มมาสู่องก์ลำดับที่สอง หนังอุตสาหะพาไปสู่พาร์ตความเป็นโรแมนติก
ซึ่งเป็นความโรแมนติกแบบนิวนอร์มัล ท่ามกลางเมืองที่เต็มไปด้วยวิกฤติเชื้อไวรัส จะออกมาเจอะกัน ประสานมือ กอด จูบกันมิได้ก็เลยจำต้องคุยกันผ่านมือถือ เปิดหนังสตรีมมิ่งผ่านวิดีโอคอล มายอดเยี่ยมกันได้ แต่ว่าก็เข้าไปเจอะกันมิได้ เลยจำเป็นต้องนั่งคุยกันผ่านประตู หรือแม้กระทั้งการเขียนจดหมายรักส่งผ่านกล่องทำลายเชื้อด้วยแสงอัลตราไวโอเลต ซึ่งแม้ว่าจะยังทำเป็นไม่สุดนัก
แม้กระนั้นพาร์ตของหนังโรแมนติกก็นับได้ว่าเป็นพาร์ตที่ดีเยี่ยมที่สุดในหนังแล้วล่ะ เพราะว่าต่อจากนี้ พาร์ตข้างหลังของหนังประเด็นนี้ เปลี่ยนไปเป็นหนังแอ็กชันระทึกบาง ๆ ที่เส้นเรื่องเต็มไปด้วยความจืดจาง และไม่มีเหตุผลเยอะแยะ รวมทั้งความเหลวแหลกร้ายอย่างที่สุดก็คือ ผู้แสดงในหนังแทบทุกตัวที่มองไม่มีมิติอะไรเลย ทำให้นักแสดงมองน่าเบื่อหน่ายมากมายน้อยต่างกันออกไป
พาร์ตที่มองน้ำเสียมากมาย ๆ ก็เป็นต้นว่าพ่อหนุ่มรถเข็นที่เป็นแฟน ๆ นักแสดงสาวที่รอโดเนตเงินในช่วงเวลาที่คุณ ไลฟ์ ร้องสดนี่แหละ สำหรับพาร์ตนี้เป็นพาร์ตที่น่าเบื่อแบบสุด ๆ แต่ว่าถ้าหากจะถามว่า ผู้แสดงไหน “ไม่น่าสนใจ” สูงที่สุด ขอชูให้นักแสดงคุณลุงหนวดที่เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่เขตสุขาภิบาล ที่รอสั่งการข้าราชการจับผู้ที่ติดโรค หรือผู้ที่ละเมิดล็อกดาวน์นี่แหละ
เป็นว่าก็รู้เรื่องค้างแรกเตอร์ของแกนะขอรับ แต่ยังไงเสีย แกก็มองเป็นเพียงแค่ตาลุงโรคทางจิตพกมีดสั้นอ่ะขอรับ ที่นอกเหนือจากการที่จะมองเฮฮาและไม่ได้มองน่าสยองแล้ว ตรงกันข้าม ลักษณะท่าทางแปลก ๆ รวมทั้งไดอะล็อกของคุณลุงมึงก็มองประดิษฐ์มากมาย ๆ ไม่น่าสนใจซะจนถึงต้องการแช่งให้คุณลุงติดเชื้อโรคเชื้อไวรัสโควิด 23 ตายเป็นคนแรกในหนังไปเลย
หากแม้แนวความคิดของตัวหนังที่ใช้ความเป็น “ดิสโทเปีย+โรแมนติก+ตื่นเต้น (เล็กน้อย)” มาขับจะน่าดึงดูด แต่ว่ามันก็เหมือนกับตัวหนังจะไปได้ไม่สุดสักทาง โดยยิ่งไปกว่านั้นในตอนช่วงหลังที่เต็มไปด้วยความเล่นท่าง่าย เล่นน้อย เพลย์เซฟ ทุกปมมองคลี่คลายได้อย่างไม่ยากเย็นจุดไคลแมกซ์ก็เป็นเพียงแต่จุดผ่านไปสู่ข้อสรุปที่มากล้วย ๆ และก็จบไปแบบจืดชืด ๆ ทุกผู้แสดงและก็พล็อตหนังที่น่าจะนิวนอร์มัล ก็กลับมาปกติ แบบที่มิได้เหนือความมุ่งหวังเท่าไรนัก
แล้วก็เอาเข้าจริง ๆ ก็เกือบจะจำไม่ได้ว่าหนังจะให้เมสเสจ อะไรกันแน่ นอกเหนือจากการที่จะเป็นหนังที่เป็นหัวหอกสำหรับเพื่อการถือเอาเหตุการณ์โควิด-19 มาดัดแปลงเพียงเท่านั้นเอง ไหน ๆ เหตุการณ์หนังโลกในสมัยโควิด-19 นี้ก็ง่อยเปลี้ยเสียขาอ่อนเปลี้ยจะห่วยแล้ว เองก็ขอบคุณมากคณะทำงานที่ยังเอื้อเฟื้อกล้าหาญชาญชัยออกไปทำให้อย่างต่ำ ๆ
ส่วนผู้ชมอย่างพวกเรา ๆ ถ้าเกิดต้องการไปดูเพื่อช่วยเหลือโรงภาพยนต์ ก็ไปดูได้แบบเพลิดเพลิน ๆ นั่นแหละนะครับ แม้กระนั้นก็จำต้องไม่มานะนึกถึงว่า นี่เป็นหนังที่ไมเคิล เบย์ เป็นผู้อำนวยการผลิตรวมทั้งดูแลพาร์ตแอ็กชันเอง