ถอดบทเรียน

ถอดบทเรียน แพทพาวเวอร์แพทต้องไม่ตายคาคุกย้อนเวลาได้จะเชื่อฟังพ่อแม่

ถอดบทเรียน หลังจากที่แพท พาวเวอร์แพทได้ถูกปล่อยตัวหลังจากที่ถูกจำคุกคดียาเสพติดนานถึง16ปี8เดือนล่าสุดเจ้าตัวได้มาออกรายการถามสุดซอย

ถอดบทเรียน

ถอดบทเรียน เปิดใจสัมภาษณ์ แพท พาวเวอร์แพท อีกครั้ง ถึงเรื่องราวการใช้ชีวิตอยู่ในคุก เพื่อเป็นบทเรียนให้กับอีกหลายๆ คนว่า

ขอย้อนไปถึงอดีต ตอนที่เราวัยรุ่น ไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดครั้งแรก ตอนนั้นอายุเท่าไร?
“ประมาณ 15 16 17 ครับ คือผมเป็นเด็กที่ชอบเล่นดนตรี แล้วโตมากับเพลงร็อกในยุคนั้น อาจมีศิลปินที่เป็นร็อกสตาร์ต่างประเทศ ที่เรานับถือเป็นไอดอล ในยุคนั้นมีหลายคนใช้ยาเสพติดในการเล่น แล้วเรารู้สึกว่ามันเท่
รู้สึกได้ฟิลลิ่งความเป็นร็อกสตาร์ เราเลยมีความคิดที่จะเลียนแบบเขาในส่วนหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งคือตัวผมเองรู้สึกว่าไม่มีใครเข้าใจ เหมือนคุยกันคนละภาษา ก็เริ่มหันไปใช้ยาเสพติด โดยคิดว่าสิ่งนั้นเป็นเพื่อนของเรา แก้เหงา”

ใช้ยาอะไรในตอนนั้น?
“เท่าที่หาได้ ไม่ได้เจาะจงว่าต้องเป็นอะไร”

ตอนไปยุ่งกับยาเสพติด เป็นแพท พาวเวอร์แพทหรือยัง?
“เป็นระยะครับ ช่วงใช้ไม่ใช้ เป็นมาเรื่อยๆ”

เคยเสียงานกับยาเสพติดมั้ย?
“ไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่ชีวิตประจำวันเราจะผิดแปลกไปจากมนุษย์ทั่วไป กลางวันเราจะนอน กลางคืนเราจะไม่นอน ถ้ามีงานกลางวันก็จะรับไม่ได้ ไม่สามารถไปได้ ทำให้กระบวนการทำงาน ขั้นตอนที่อยู่ในแบบแผนไม่สามารถเกิดขึ้นกับเราได้ ทำให้ชีวิตเริ่มแย่ลงไปเรื่อยๆ”

ตอนนั้นเราไม่ได้อยู่กับที่บ้าน?
“ผมไม่ได้อยู่กับที่บ้านตั้งแต่อายุไม่ถึง 20 มั้งครับ คือบางบ้านไม่อยากให้ผมออกไปหรอก แต่เราเป็นเด็กมีความคิดของตัวเอง

ซึ่งความคิดนั้นอาจไม่ได้ถูกต้อง อยากมาใช้ชีวิตของตัวเอง อยากพิสูจน์บางอย่าง ออกจากบ้านหิ้วกีตาร์มา 1 ตัว อยากพิสูจน์ตัวเองว่าสามารถยืนได้ด้วยตัวเอง อยู่คนเดียวบ้าง อยู่กับเพื่อนบ้าง”

ณ วันที่ถูกจับ?
“ตัวผมเองไม่อยากไปพาดพิงถึงบุคคลอื่น เอาเป็นว่า ณ วันนั้นเจ้าหน้าที่ตร.ก็ไม่ได้มาติดตามผมโดยตรง ติดตามอีกคนนึงมาแล้วบังเอิญเจอผม ก็ถูกรวบตัวไปพร้อมยาเสพติด

ตอนนั้นเป็นยาอีจำนวน 2,998 เม็ด มีคนนำมาฝากไว้ ตอนนั้นเราเสพยา ติดยา คนมาฝาก ก็ฝากไว้ จะใช้เท่าไรเราก็ใช้ไป ไม่ต้องซื้อ เขาพร้อมเมื่อไรจะมาเอาไป ที่ใช้ไปก็ไม่ต้องซีเรียส ใช้เท่าไรใช้ไป ถึงเวลาเดี๋ยวมาเอา”

เราไม่ได้ขาย?

ไม่ได้ขายเขาฝากเราไว้ถึงเวลาเราก็คืนเขาแล้วตร.ก็มารวบเรา

ความผิดคืออะไร?
“ร่วมกันค้ายาเสพติด เป็นการร่วมกัน ซึ่งขณะนั้นผมไม่มีความรู้เรื่องกฎหมายใดๆ ทั้งสิ้น ก็อาจเป็นจุดอ่อน ทำให้เป็นเครื่องมือของใคร

แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะโทษใครนะ เพราะถ้าผมไม่เข้าไปยุ่งไปเสพ ก็คงไม่สามารถเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ก็ต้องโทษตัวเราเองนี่แหละ ที่เราคิดพลาดไป ใช้ชีวิตผิด คิดพลาดไปในช่วงนั้น ก็ต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น”
ณ วันที่โดนจับ คิดว่าจะรอดมั้ย คิดมั้ยว่าต้องอยู่ในเรือนจำ 20 ปี?
“ก่อนหน้านั้นไม่เคยคิด ผมเป็นเด็กวัยรุ่นที่ไม่ค่อยเสพสื่อ ไม่ค่อยรู้เรื่องกฎหมาย ณ เวลานั้นไม่รู้ว่าเคสในคดียาเสพติดมีหลายรูปแบบ ถ้าครอบครองเพื่อเสพก็มีจำนวนการจำคุกก็อีกลักษณะนึง

ถ้าร่วมกันค้าก็อีกลักษณะนึง ไม่เคยทราบตรงนี้เลย เพิ่งรู้ตอนถูกตร.จับไปแล้ว มีพี่ตร.คนนึงเดินมาบอกว่ารู้มั้ยโทษเราอย่างน้อย 20 กว่าปีมีแน่นอน ก็ตกใจ ด้วยความเราไม่รู้ อำให้เรากลัวหรือเปล่า เราขาดความรู้ด้านสิ่งเหล่านี้ ต้องยอมรับตรงนี้” ข่าวหนังใหม่

ถอดบทเรียนวันแรกที่ก้าวขาเข้าไป เป็นยังไง?
“กังวลมาก เพราะเราทราบแต่ในภาพยนตร์ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่รู้มันจริงมั้ย ก็กังวล พอเข้าไปสิ่งแรกที่ผิดจากที่เราคิดคือทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก มันสะอาด มันโล่ง มันเงียบ

ตอนเข้าไปเป็นช่วงเย็นที่เขานำผู้ต้องขังขึ้นตึกนอนแล้ว เข้าไปวันแรก เขาไม่ให้เราใส่รองเท้า เดินเท้าเปล่าพร้อมโซ่ตรวนที่ขา มือนึงก็หิ้วสัมภาระตัวเอง มือนึงหิ้วโซ่ไม่ให้ลากไปกับพื้น เพราะมันจะดังมาก

สมัยก่อนคดีของกลางมาก คาดการณ์ว่ามีการตัดสินจำโทษสูงเขาจะใส่โซ่ตรวนไว้เลย ประมาณ 3 เดือนเพื่อดูพฤติกรรม เพื่อป้องกันการหลบหนี ทำร้ายร่างกายตัวเอง แต่ยุคหลังๆ เขามีการยกเลิกข้อกำหนดนี้ไว้แล้ว ผมใส่เกือบ 3 เดือนก็ถอดออกไป

ก็เจ็บและต้องปรับตัว ต้องดูแลรักษา เพราะขึ้นสนิมได้ง่ายมาก แล้วจะเป็นอันตรายกับเรา จะกัดข้อเท้าเราให้เป็นแผลได้ง่าย ฉะนั้นต้องคอยหมั่นเช็ดทำความสะอาด ยิ่งหน้าฝนสนิมขึ้นเร็วมากต้องคอยดูแล มันเป็นอีกหนึ่งอวัยวะของเรา ต้องให้สะอาดตลอดเวลา ไม่งั้นจะลำบาก”

มีรุ่นพี่มาสอนมั้ย?
“มีครับ เพราะพออยู่ที่ข้อเท้า การใส่กางเกง ถอดกางเกงก็จะมีเทคนิคของมัน มันซับซ้อนมาก เป็นเทคนิคของคนอยู่ข้างใน”

ตอนเข้าไปเงียบมาก แล้วยังไงต่อ?
“ตอนนั้นขึ้นไป มีเพื่อนผู้ต้องขังขึ้นเรือนนอนกันแล้วนะ มีการเปิดทีวีให้ดูอะไรต่างๆ ได้รับการต้อนรับจากเพื่อนๆ เป็นอย่างดี มีการพูดคุย เหมือนการสอบประวัติกัน อาจด้วยเป็นธรรมเนียมอะไรก็แล้ว

คดีเป็นยังไง ตัดสินเท่าไร เด็ดขาดหรือยัง เหมือนทำความรู้จักกัน เราก็พยายามพูดคุยกับทุกคน พยายามทำตัวกลมกลืน ไม่ไปทำตัวแปลกแยก เพราะเราคิดว่าต้องอยู่ให้ได้ และต้องอยู่นานด้วย”

ปรับตัวนานมั้ยในการยอมรับการอยู่ในสภาพแบบนี้?
“สองสามเดือนครับ ก็ถือว่าเร็ว เป็นช่วงชีวิตที่จะมีเพื่อนสนิทบ้าง พอคดีเราถูกตัดสินในชั้นต้นก็ถูกย้ายมาเรือนจำบางขวางคนเดียว เป็นที่คุมขังคดีโทษสูงถึงประหารชีวิต

ชื่อของเรือนจำที่เราวาดภาพไว้ ดูน่ากลัวมาก มีตำนานอะไรที่เขาเล่าเยอะมาก แต่พอเราเข้าไปมันไม่ได้น่ากลัวหรือเลวร้ายอย่างที่คนข้างนอกมองภาพไป มันผิดไปจากภาพในภาพยนตร์หรือคนข้างนอกพูดถึง มันดูเป็นระเบียบ สะอาด”

ชีวิตคนในเรือนจำต้องทำอะไรบ้าง?
“เขามีตารางให้ทำกิจกรรมในแต่ละวัน เหมือนกับคุณอยู่ข้างนอกมีกฎหมายขีดให้คุณมีอิสระในการเดิน แต่คุณฉีกออก ก็ต้องมาอยู่ในที่ที่เขาขีดเส้นทางให้คุณเดิน”

พอไปอยู่ตรงนั้น คนอยู่รอบตัวเรา มีปฏิกิริยากับเรายังไง?
“แน่นอนเขาสังเกตเรา แต่พยายามทำตัวให้กลมกลืนกับคนอื่น พยายามไม่ผิดแผกไปจากเขา”

สอนดนตรีด้วย?
“เริ่มต้นจากตัวเองด้วย ที่เข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว อยากพัฒนาตัวเองต่อไป เราจะอยู่ยังไงให้ได้ ก็ใช้สิ่งที่ชอบเป็นเป้าหมาย ทั้งเรื่องดนตรีและศิลปะ ผมก็ตั้งใจว่าจะพัฒนาในสิ่งที่ตัวเองชอบ

โชคดีมีเพื่อนมีพี่ที่รักกัน เขาส่งสื่อการสอน อุปกรณ์ หนังสือเรียนต่างๆ มาให้ ผมก็เรียนรู้จากสิ่งที่มีไปเรื่อยๆ พอถึงระยะเวลานึงเรามีความรู้ในระดับนึง เรือนจำไม่เหมือนในหนัง

แต่ผมไม่ใช่คนเก่งมากนะ จะมีน้องๆ ที่เขาสนใจเข้ามาหาเรา เราก็แบ่งปัน รู้สึกทำให้เราเห็นคุณค่าตัวเอง แม้อยู่ในที่ที่คนดูว่าเป็นที่แย่ๆ แต่เราก็สร้างคุณค่าให้สังคมหรือคนรอบข้างให้เราได้

พอเราเห็นแววตาเขา ความสุขก็เกิดกับเรา เหมือนเราได้ช่วยเขา เหมือนสิ่งที่เราได้จากดนตรี ศิลปะที่ช่วยเยียวยาจิตใจเรา ให้มันอยู่ได้ สิ่งที่ได้รับเขาก็ได้รับเหมือนกับเรา เหมือนเราส่งต่อ ส่งมอบสิ่งดีๆ ที่ได้มาให้คนอื่นและต่อยอดต่อไป รู้สึกอิ่มเอิบใจมาก”