ประมงในมหาสมุทร

ประมงในมหาสมุทร ซีสะไปเรซี่จริงหรือที่มหาสมุทรจะล่มสลายรวมทั้งทางออกเป็น หยุดรับประทานปลา ?

ประมงในมหาสมุทร ตั้งแต่แมื่อสารคดี ซีสะไปเรซี่เริ่มออกฉายทั้งโลกผ่านทางช่องสตรีมมิ่งออนไลน์ เน็ตฟลิกซ์ เมื่อมี.ค.ก่อนหน้านี้ ก็สร้างกระแสวิจารณ์อย่างมากมาย

ประมงในมหาสมุทร รายละเอียดในสารคดีเริ่มมาอย่างน่าดึงดูด โดยสอนวิชาพื้นฐานที่มาของเรื่องจากความคลั่งไคล้ ในทะเลของ อาลี ตาบรีซี ผู้กำกับหนัง รวมทั้งความจำเป็นที่สามารถช่วยคุ้มครองปกป้องห้วงมหาสมุทรที่เขารักจากปัญหาต่างๆเริ่มตั้งแต่ปัญหาขยะพลาสติก ที่อยู่ในกระแสการรณรงค์ของทุกภาคส่วนทั้งโลก ก่อนที่จะเบาๆขยายรูปไปสู่ปัญหาที่ใหญ่มากขึ้นผ่านสีสันของการเล่าเรื่องสไตล์ไต่สวนที่พาผู้ชมไปรู้จักอุตสาหกรรมประมง

ซึ่งน้อยคนนักจะทราบว่ามีผลเสียต่อสภาพแวดล้อมอย่างมากมาย โดยเกี่ยวข้องกับหลายประเทศ หลากหลายองค์กร รวมทั้งพวกเราในฐานะผู้ซื้ออาหารทะเล เพื่อเห็นภาพกระแสของสารคดีเรื่อง ซีสะไปเรซี่ที่แจ่มแจ้งเยอะขึ้นเรื่อยๆ พวกเราจะพาไปสอบถามความคิดเห็นรวมทั้งปฏิกิริยาของคนเราในวงการต่างๆที่เกี่ยวพัน รวมทั้งย้อนกลับมามองเหตุการณ์ด้านสมุทรรวมทั้งแรงงานของไทยควบคู่กัน

ประมงในมหาสมุทร

ประมงในมหาสมุทร ความน่าไว้วางใจของข้อมูล และก็การตัดต่อบทสัมภาษณ์ที่ไม่กระจ่าง

หลายบทความรวมทั้งความเห็นจากนักวิชาการด้านสมุทรแล้วก็ประมงได้ออกมาโต้วาที และก็บ่งบอกข้อด้อยของการเลือกเสนอ โดยมุ่งจู่โจมหน่วยงานสงวนหลายที่ ได้แก่ มารีน สตีวอร์ดชีพ เคาน์สิล หรือ (เอ็มเอสซี) รวมทั้งฉลาก ดอลฟิน เซฟ/เฟรนด์ลี่ ว่าเป็นการร่วมมือกันระหว่างภาคธุรกิจรวมทั้งหน่วยงานด้านสภาพแวดล้อม เพื่อฉ้อฉลลูกค้าว่า ผลิตภัณฑ์ที่ซื้อนั้นเป็นมิตรกับสภาพแวดล้อม

โดยเอ็มเอสซี ได้ออกคำชี้แจง โต้ตอบในทันทีว่า สารคดีตั้งใจให้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนที่อ้างถึงว่าแนวทางการทำประมงอย่างยั่งยืนนั้นไม่มีอยู่จริง แล้วก็การได้มาซึ่งยี่ห้อการันตีมาตรฐานเอ็มเอสซี นั้นสามารถทำเป็นง่าย ไม่มีความน่าไว้วางใจ หรือในคำแถลงของสถาบัน สภาพแวดล้อมที่ไม่ค้นหากำไร ที่เป็นเจ้าของฉลาก ดอลฟิน เซฟ ที่บอกว่าบทสัมภาษณ์ที่ปรากฎในสารคดีถูกตัดต่อรวมทั้งตัดทอนให้เหลือแค่ข้อมูลที่ผู้กำกับอยากเสนอ ข่าวหนังใหม่

ดังนี้ เกิดเรื่องจริงที่ว่ายังมีข้อโต้เถียงถึงความโปร่งสบายใส แล้วก็น่าไว้วางใจของมาตรฐานความคงทนถาวรที่ให้กับผลิตภัณฑ์อาหารทะเล อาทิเช่น ช่องโหว่งสำหรับการผลิใบการันตีห่วงโซ่ความมั่นคง ของเอ็มเอสซี ที่อ้างอิงจากการคาดการณ์ตามเอกสารแค่เพียงหนึ่งเดียว ขาดระบบที่จะรอวิเคราะห์ในทุกๆรอบแนวทางการทำประมง ส่งผลให้เกิดการเสี่ยงที่จะมีปลาด้ามจับด้วยแนวทางไม่ถูกกฎหมายแปดเปื้อนมาในระบบ หรือข้อเสียในเรื่องแรงงาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงงานประมงสถานที่ทำงานอยู่กึ่งกลางทะล ซึ่งเอ็มเอสซี ยังขาดมาตรการตรวจตรารวมทั้งคุ้มครองป้องกันแรงงานจากการตกเป็นแรงงานบังคับ ในห่วงโซ่การสร้างอาหารทะเล จากรายงานและก็ข้อศึกษาค้นพบของกรีนพีซเมื่อปีที่ล่วงเลยไป พบว่า มีบริษัทผู้จัดหาปลาทูน่ารายใหญ่ของไต้หวันเกี่ยวพันกับแนวทางการทำประมงไม่ถูกกฎหมาย ได้แก่ การล่าปลาฉลามเพื่อนำครีบมาขาย และก็วิธีการค้ามนุษย์

ซึ่งบริษัทดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นก็ได้รับมาตรฐานการันตีเอ็มเอสซี ในทำประมงทูน่าในน่านน้ำห้วงสมุทรแปซิฟิคตะวันตกใจกลาง อย่างไรก็ดี ก็มิได้แสดงว่าการมีอยู่ของมาตรฐานความมั่นคงและยั่งยืนต่างๆจะเกิดเรื่องฉ้อโกง เพื่อผลตอบแทนของฝูงคนไม่กี่คนไปเสียทั้งหมดทั้งปวง เนื่องจากในทางหนึ่งมาตรฐานพวกนี้เป็นการมานะแนะนำทางออกให้ผู้มีส่วนเกี่ยวเนื่องในอุตสาหกรรมประมงจำต้องหันมารับผิดชอบเรื่องสภาพแวดล้อมมากขึ้นเรื่อย ๆ

แต่ทว่าสิ่งที่จำเป็นเป็นเรียกร้องให้มีการปรับแต่งช่องโหว่ของการให้การยืนยันมาตรฐานอาหารทะเล อีกทั้งในด้านสภาพแวดล้อม แล้วก็ด้านแรงงานอย่างเป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรม วิเคราะห์ได้จริง และก็มีมาตรการบังคับใช้พร้อมข้อบัญญัติโทษที่มีคุณภาพกว่าที่มีขณะนี้

คดีการฆ่าสังหาร

ปฏิกิริยาของรัฐบาลไทย แล้วก็ภาคธุรกิจต่อสารคดีซีสไปเรซี่

สืบไปจากรายละเอียดเล็กน้อยของสารคดีเชื่อมโยง มาถึงธุรกิจปลาป่น และก็อุตสาหกรรมฟาร์มกุ้งว่ามี ส่วนเกี่ยวพันกับวิธีการค้าแรงงานขี้ข้า ในหัวข้อนี้ทางรัฐบาลไทย ได้ออกมาชี้แจ้งว่า ข้อมูลที่ปรากฎในสารคดี เป็นข้อมูลเก่าเมื่อ 6-7 ปีที่ผ่านมา เดี๋ยวนี้เมืองไทยผ่านการตรวจสอบมาตรฐาน การประมงและก็แรงงานบนเรือ จากสหภาพยุโรปแล้ว

ในขณะที่ภาคธุรกิจเอง ก็ออกมาการันตีว่า ห่วงโซ่การสร้าง และก็รับซื้อวัตถุดิบ อาหารทะเลของตนเองนั้น สามารถตรวจทานย้อนกลับไปได้ แล้วก็ปราศจาก จากการใช้แรงงาน ที่ไม่ถูกกฎหมาย คำชี้แจ้งดังที่กล่าวถึงมาแล้ว เป็นความจริงที่ว่า เหตุการณ์การประมง รวมทั้งแรงงานในประเทศไทย เปลี่ยนไปในทางที่ดี ยิ่งขึ้นกว่าในอดีตกาล ออกจะมากมาย ตั้งแต่แมื่อการทำงาน ปรับแก้ ปรับปรุงแก้ไข พระราชกำหนดการประมง ปี พุทธศักราช 2558 แล้วก็เมืองไทย เซ็นชื่อให้สัตตาบันอนุคำสัญญา การทำงานในภาคประมง พุทธศักราช2550 (ฉบับที่ 188)

ซึ่งปกป้องการทำงานรวมทั้งภาวะการดำรงชีวิตของแรงงานบนเรือประมง ทำให้เมืองไทยหลุดพ้นสถานภาพใบเหลือง ไปอยู่ในกรุ๊ปที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิธีการทำประมงที่ไม่ถูกกฎหมาย ขาดการรายงาน รวมทั้งไม่มีการควบคุม แล้วก็ได้เลื่อนชั้นประเทศที่มีการค้ามนุษย์มาอยู่ที่เทียร์ 2 เป็นเป็นประเทศที่จะต้องเฝ้ามอง ซึ่งจัดว่าเหมาะสมที่สุดในรอบ 9 ปี คดีการฆ่าสังหาร

แต่ทว่าก็ใช่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับการประมงแล้วก็แรงงานของไทยจะคลี่คลายสวยไปหมด เพราะว่ายังเจอวิธีการทำประมงแบบไม่จีรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้อวนลาก แหล้อม รวมทั้งเรือปั่นไฟในน่านน้ำของไทย มาอย่างสม่ำเสมอ ทำให้ในแต่ละปีพวกเราสูญเสียลูกปลาเศรษฐกิจมากยิ่งกว่า 74 จำพวกรวมทั้งเศรษฐกิจเสียหายไม่น้อยกว่า 145 ล้านบาท

ซึ่งปัจจุบันผู้แทนของ สโมสรสมาจำพวกชาวเรือพื้นเมืองก็ได้เดินทางมายื่นหนังสือกับภาคธุรกิจ ให้หยุดขายสัตว์น้ำวัยอ่อน เพื่อสัตว์น้ำขนาดเล็ก ได้ได้โอกาสเพาะพันธุ์เติบโตเป็นปลาขนาดใหญ่ถัดไป นอกเหนือจากนั้น ในทางการบังคับใช้ข้อบังคับเพื่อจัดแจงแล้วก็ดูแลความสะดวกและปลอดภัยแรงงานในภาคประมงของไทยก็ยังมีอีก หลายส่วนที่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับอนุสัญญาฯ ที่รับมา เพื่อลดช่องว่างการเข้าถึงสิทธิของแรงงาน

จากรายงานของแนวร่วมโครงข่ายภาคประชาชนสังคมเพื่ออาหารทะเลที่ชอบธรรมแล้วก็ยืนนาน พบว่า แรงงานจำนวนหลายชิ้นยังจะต้องพบเจอกับปัญหา ดังเช่นว่า ถูกยึดเอกสารประจำตัว ไม่สามารถที่จะถือครองสัญญาว่าจ้างงานของตัวเอง และก็เข้าไม่ถึงกลไกการร้องทุกข์หรือความช่วย เหลือของเมืองกรณีกำเนิดปัญหาโดนฝ่าฝืน ซึ่งจำเป็นที่จะต้องให้ภาครัฐที่มีหน้าที่โดยตรง

รวมทั้งสัมพันธ์คนซื้ออาหารทะเลในต่างชาติ สโมสรอุตสาหกรรมอาหารทะเล ผู้ค้าปลีกในต่างชาติ บริษัทผู้ส่งออกอาหารทะเล และก็ผู้ครอบครองเรือประมงในต่างถิ่น มาทำงานด้วยกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง แน่ชัดเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพื่อมีการจ้างแรงงานอย่างเป็นธรรมรวมทั้งรับผิดชอบ ข้อคิดเห็นอีกประการจากสารคดี ซีสไปเรซี่เป็น แรงงานที่ปรากฎในสารคดีทุกคนต่างกล่าวภาษาไทยกึ่งกลางได้อย่างแจ่มแจ้ง ซึ่งแทบหาได้ยากมากมายในประเทศไทย

เพราะว่าแรงงานในภาคประมงและก็เพาะเลี้ยงแทบทั้งสิ้นของไทยในตอนนี้เป็นแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศพม่ารวมทั้งเขมรเป็นหลัก ส่วนแรงงานประมงที่เป็นชาวไทยนั้นนิยมไปค้าแรงงานในประเทศมาเลเซีย หรือประเทศในทวีปเอเชียทิศตะวันออกที่ให้ค่าจ้างมากยิ่งกว่า ชักชวนให้ตั้งข้อซักถามถึงแหล่งข้อมูลที่ผู้กำกับใช้อ้างอิงในสารคดี เชื้อชาติเรือประมง รอบๆน่านน้ำที่แรงงานประมง ในเรื่องไปดำเนินการอยู่ว่าอยู่ที่ไหน หรือเป็นการตั้งมั่นเขียนขึ้นให้กับเรื่องราวที่วางไว้

เนื่องจากแม้ว่าจะเป็นความจริงที่ว่า โศกการฟ้อนรำที่เกิดสังกัดแรงงานประมงที่เปลี่ยนมาเป็นแรงงานบังคับ จะมีความเหมือนกันไม่เลือกว่าคนคนนั้นเชื้อชาติอะไร แม้กระนั้นความน่านับถือของข้อมูลก็เป็นเรื่องสำคัญที่สามารถจะช่วยให้สารคดีสามารถเอ่ยถึงปัญหาได้อย่างหนักแน่นขึ้น มากยิ่งกว่าเพียงแต่การผลิตอารมณ์เร่งเร้าแค่เพียงอันเดียว จากเทคนิกสำหรับในการเล่าที่น่าระทึกใจลุ้นระทึก แต่ว่านั้นก็บางทีอาจเป็น “ดาบสองคม” ที่ทำให้ผู้ชมได้มองเห็นเฉพาะข้อมูลด้านเดียวที่ผู้กำกับเลือกมานำเสนอให้สอดคล้องกับวิธีการเล่าที่ตัวเองตั้งไว้

ซึ่งจุดนี้เป็นปัญหาน่าพิจารณาถัดไปว่าจะทำยังไงให้การพรีเซนเทชั่น ปัญหาที่สลับซับซ้อนในสมุทรอีกทั้งในด้านการจัดการแนวทางการทำประมงและก็ทรัพยากรนั้นน่าดึงดูดเชื้อเชิญให้มีการรับทราบรวมทั้งแก้ไข มากยิ่งกว่าเพียงแค่เป็นกระแสให้คนพอใจเพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว รวมทั้งทำให้เกิดการปกป้องคุ้มครองห้วงมหาสมุทรที่ครอบคลุมในทุกมิติ