หนังรักอบอุ่นหัวใจ

หนังรักอบอุ่นหัวใจ เดอะ ลาส เลทเทอร์ ฟอร์ม ยัวร์ เลิฟเวอร์ แม้กระนั้นไร้อารมณ์

หนังรักอบอุ่นหัวใจ เดอะ ลาส เลทเทอร์ ฟอร์ม ยัวร์ เลิฟเวอร์ (จดหมายรักจากอดีต) ภาพยนตร์โรแมนติกดราม่าผลิตมาจากนิยายขายดิบขายดีปี 2012

หนังรักอบอุ่นหัวใจ ในชื่อเดียวกันของ โจโจ้ โมเยส คนที่เคยฝากผลงานนิยาย มี บีฟอร์ ยู จนกระทั่งชนะใจผู้อ่านทั้งโลก รวมทั้งถูกผลิตเป็นภาพยนตร์กวาดรายได้มาก โดยหนังหัวข้อนี้ตั้งมั่นหัวใจฉายในโรงแต่ว่าเพราะเหตุว่าสถานการณ์โควิด เลยโยกมาฉายทางเน็ตฟลิกซ์ แสดงนำโดย เฟลิซิตี โจนส์, เชลีน วูดลีย์, คัลลัม เทอร์เนอร์, นาภา ริซวาน รวมทั้ง โจ อัลวิน กล่าวถึง ผู้สื่อข่าวสาวที่รอสืบปัญหาของจดหมายรักปี 1965 จนถึงเข้าไปเกี่ยวพันความเกี่ยวพันสวาทอันตรอมตรมที่มีตอนสุดท้ายรออยู่ด้านหน้า

โดยหนังได้รับข้อวิพากษ์วิจารณ์ทั้งยังแง่ดีรวมทั้งลบ แต่ว่าสำหรับนักเขียนมันจะเป็นอย่างไรกันนะ ในปี 2019 แอลลี่ ฮาเวิร์ธ ผู้สื่อข่าวสาวผู้ดีอังกฤษมากมายความสามารถได้รับมอบหมายให้เขียนเนื้อหาของบทความเพื่อเชิดชูแก่บรรณาธิการที่ตาย ในเวลาที่ชีวิตรักของเธอมีแต่ว่าความสิ้นหวังกระทั่งจมกับความไม่ประสบผลสำเร็จ เธอก็ได้เจอกับรอรี่ หนุ่มน้อยเพื่อนผู้ร่วมการทำงานจากแผนกดูแลเอกสารที่ทำให้เธอไม่ถูกชะตาในตอนแรก

ตราบจนกระทั่งทั้งหมดทุกอย่างแปรไป เมื่อเขาพาเธอไปศึกษาค้นพบจดหมายรักจากชายปัญหาที่ทำให้เธอหมกมุ่นต้องการศึกษาและทำการค้นพบความเป็นจริงรวมทั้งข้อสรุปของความเกี่ยวเนื่องจนถึงมันเบา ๆ บั่นทอนเดี๋ยวนี้ของเธอกับรอรี่ เธอจะต้องเลือกว่าจะปล่อยวางอดีตกาลหรือเดินหน้าเพื่อกล่าวโทษจริง ในเวลาเดียวกันปี 1965 ยุครุ่งโรจน์ของอุตสาหกรรม ข่าวหนังใหม่

เจนนิเฟอร์ สเตอร์ริ่งผู้ได้รับอุบัติเหตุกระทั่งเสียความจำ เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างไม่น่าไว้วางใจเกี่ยวกับผัวชายหนุ่มอย่าง ลอว์เรนซ์ จนกระทั่งทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างเบา ๆ เชื่อมโยงกับจดหมายรักฉบับนึงที่ได้พาเธอย้อนอดีตไปสู่ความเชื่อมโยงต้องห้ามระหว่างเธอกับแอนโธนี่ โอแฮร์ ผู้สื่อข่าวชายหนุ่มที่มอบการเสี่ยงอันตรายและก็ชีวิตใหม่ที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน รวมทั้งโน่นจะเปลี่ยนชีวิตของเธอไปชั่วนิจนิรันดร์

ข้อความสำคัญของเรื่องก็จำเจแต่ว่าก็กับตัวหนังอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกปล่อยวางจากสมัยก่อนเพื่อไม่ให้เรื่องที่เกิดขึ้นอีกเหมือนกับที่เคยขึ้นมาแล้ว การเขียนประวัติศาสตร์รักกันใหม่อีกรอบ การรักที่จะดำเนินชีวิตของตนเอง การตัดสินใจระหว่างความรักที่ตนเองอยากหรือสาเหตุอื่น ๆ ผ่านผู้แสดงสองสมัย แต่ว่าที่บอกที่เด่นสุดเป็น สมัยก่อน ปัจจุบันนี้ราวกับมาปิดเรื่องให้มันงาม ๆ เท่านั้น

ซึ่งถ้าหากหนังมันปฏิบัติดีกว่านี้ พวกเราจะอินมากมายกับหนังว่า เอ้อ นักแสดงกลุ่มนี้เขาเลือกจะมูฟออนเดินไปด้านหน้าแล้วนะ พวกเขารักกันได้แล้วนะ อะไรพวกนี้ ช่วงท้ายมันทำเป็นล่ะ แม้กระนั้นมันก็ไม่เพียงพอกับส่วนประกอบอันเรียบนิ่งที่หนังส่งมามันเลยทำให้หัวข้อของหนังแผ่วเบาลงอย่างชัดเจน มันเลยเป็นหนังรักที่พอสมควรผ่าน ๆ ได้แม้กระนั้นไม่มีอะไรน่าจดจำเท่าใด

เนื่องจากมองจบแล้วพวกเราบางครั้งก็อาจจะคิดว่า ก็นักแสดงมันเป็นอย่างนี้ พวกเราจะไปทำอะไรได้ แทนที่พวกเราจะมีความรู้สึกว่า พวกเราก็สามารถเอาคำบอกเล่า บทสำหรับพูดในหนังไปใช้ดำรงชีวิต เปลี่ยนเป็นมันเป็นคำกล่าวบอกผ่าน ๆ ในจังหวะที่หนังกำหนดไว้แล้ว มันทำให้พวกเรารู้สึกเสมือนมองฉากแบบงี้มาบ่อยแล้วในหนังรักหลายเรื่อง ฉากผลสรุปปิดเงื่อนก็เช่นเดียวกัน

หนังรักอบอุ่นหัวใจ

หนังรักอบอุ่นหัวใจ การเล่าเรื่องนี้จะเป็นการเล่าสลับไป ๆ มา ๆ ระหว่างสองเส้นเวลาโน่นเป็น 2019

ผ่านนักแสดงแอลลี่ที่มานะจะสืบเรื่องจริงเกี่ยวกับอดีตกาล กับ 1965 ผ่านนักแสดงเจนนิเฟอร์ที่พากเพียรจะจำอดีตกาลของตนเอง ที่ทั้งคู่คนต่างมีเรื่องมีราวราวเป็นของตนเอง โดยเรื่องราวจะถูกร้อยเรียงแบบเรียบง่ายและก็มีสิ่งจูงใจอีกทั้งข้างของคนภายในตอนนี้กับในสมัยก่อน แม้กระนั้นปัญหาของมันเป็นทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างง่ายไปหมด มิติของนักแสดงเบาหวิว จริงอยู่ที่หนังบากบั่นจะบอกพวกเราว่าเพราะเหตุว่านักแสดงเป็นแบบงี้

แต่ว่ามันไม่มีการปูหรือเจาะลึกเลยสักหน่อยราวต้องการมองเห็นแฟนกันหรอ มองไปสิไม่ต้องถามอันอื่น เลยทำให้พวกเราไม่ค่อยเข้าถึงนักแสดงเท่าไร ในขณะที่พล็อตมันก็เอื้อให้น่าดึงดูดมากพอแต่ว่าพอเพียงถ่ายทอดออกมามันกลับปกติไม่มีท่วงทีโดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวะตัดสลับซึ่งก็จัดว่าใช้ได้ไม่รู้สึกสับสน มีหลายตอนที่ทำออกมาทับซ้อนระหว่างสมัยก่อนอย่างยอดเยี่ยม แต่ว่าเนื่องจากว่าสองเรื่องราวมันก็ราวหนังคนละเรื่อง สังคมวงการไอที

เรื่องนึงเป็นรักโรแมนติก อีกประเด็นเป็นรักดราม่า มันก็เลยไม่ค่อยมีผลอะไรกับผู้แสดงมากสักเท่าไรนัก นอกเหนือจากการตามหาให้ทราบดีว่าความเกี่ยวพันในอดีตกาลมันจบลงอย่างไร แถมพล็อตเดี๋ยวนี้ก็มองไม่น่าสนใจเท่าสมัยก่อนด้วย พล็อตเดี๋ยวนี้มีอยู่โดยประมาณ 30 พล็อตอดีตกาลมีไปกว่า 70 เปอร์เซนต์ แถมข้อความสำคัญของตอนนี้ก็ปกติมากมาย ปกติแบบที่ผู้ชมหนังรักมาหลายเรื่องจำเป็นต้องทายใจออกว่ามันจะจบอย่างไร

แต่ว่าในสมัยก่อน หนังอุตสาหะจะหลอกพวกเราว่ามันจบแบบงี้นะ แม้กระนั้นก็หักไปอีกทางนึงแบบที่พวกเราไม่คาดฝันเช่นกัน แม้กระนั้นท้ายที่สุดไม่ว่าชีวิตผู้แสดงจะดราม่าอย่างไร มันก็จบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งกล้วย ๆ ว่า พวกเราสามารถเริ่มประวัติศาสตร์ความรักได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปขนาดไหน เท่าที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งมันก็ดูดี แต่ว่าพอเพียงหนังมันขาดน้ำหนักก็เปลี่ยนเป็นเฉย ๆ ไปเลย

สังคมวงการไอที

หนังหัวข้อนี้มีทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างตามผู้ทรยศหนังจดหมายรัก

ตัวนำจากเดี๋ยวนี้ศึกษาและทำการค้นพบจดหมายอดีตกาลโยงไปโยงมากับตนเอง เป็นสูตรสำเร็จที่ให้อารมณ์ย้อนไปในวันวานหนังปี 2000 ก็ได้ จะว่าขี้เกียจคร้านเขียนพล็อตใหม่ก็ได้แบบเดียวกัน เนื่องจากว่าเนื่องจากว่าพล็อตแบบงี้มันมีกระจัดกระจายแล้ว การนำเสนอก็เลยเป็นอะไรที่สำคัญ แต่ว่าหนังก็ทำให้มันผ่าน ๆ ไม่ว่าจะเป็นแอลลี่ที่นักแสดงของเธอไม่น่าสนใจ

นอกเหนือจากการยุ่งเรื่องของผู้อื่น มองไม่มีจริยธรรมสำหรับเพื่อการเป็นผู้รายงานข่าว กระทั่งไม่สนใจคนที่อยู่รอบข้าง เพียงแค่เพราะเหตุว่าอกหักบ่อยมากจนถึงไม่ต้องการที่จะอยากเริ่มชีวิตใหม่ หนังก็จะเล่าว่าแอลลี่ทุกข์ใจ พบจดหมาย อ่านจดหมาย สลับกับเรื่องราวของความรักที่ไม่เคยทราบว่าไปรักกันตอนไหน แม้กระนั้นหนังก็พาพวกเราไปถึงจุดแยกทางความเชื่อมโยงที่พอเพียงแยกก็ทำเอาซุกซน ๆ ไม่รู้จักสึกอินไปกับความรักของเธอกับรอรีเลย

เวลาที่เรื่องของเจนนิเฟอร์กลับกลายส่วนที่เยี่ยมที่สุดก็ยังมีปัญหา ตรงที่พวกเราไม่รู้จักสิ่งจูงใจมากพอที่ทำให้เธอต้องการดำเนินชีวิตเป็นชู้ เพียงแค่เพราะว่าถูกโฉลก เบื่อผัวที่ไม่แยแสเธอหรือใด ๆ หนังใช้บทสำหรับพูดบอกผ่าน ๆ ปากผู้แสดง รวมทั้งผ่านไปเป็นช่วง ๆ ในตอนที่เธอกับชู้รักไฟสปาร์คและก็เขียนจดหมายพร่ำหากัน มันก็มองโรแมนติกดี แม้กระนั้นเวลาไม่กี่เดือนที่เธอยังไม่หย่าผัวกับเธอด้วย ก็ทำให้เกิดความรู้สึกกระอั่กกระอ่วนเล็ก ๆ

จริงอยู่ที่สามีไม่สนใจอะไรเว้นแต่งาน แต่ว่าเธอควรหย่า แม้กระนั้นเธอไม่กล้าทิ้งชีวิตอันสบายของตนเอง มันก็เลยกลายเป็นเรื่องเศร้าในวัยของสาว ที่มันก็ดูเหมือนทำให้พวกเราโศกสลดซึ้ง แม้กระนั้นพอเพียงมันขาดมิติผู้แสดงที่ต่างแบนราบปราศจากความลึก ก็เปลี่ยนเป็นว่า อ๋อมันเป็นแบบงี้ ประเดี๋ยวผู้แสดงก็จะต้องทำอย่างนี้ ขาดอารมณ์ร่วมราวกับผู้แสดงมันถูกชูมาจากหนังสือมิได้แปลความให้มันเป็นมนุษย์จริง ๆ ซึ่งมันตกสมัยแล้ว นักแสดงที่ไม่มีมิติ และก็จังหวะของหนังที่ไม่ยุติธรรมชาติ มันจึงกลายเป็นหนังเน็ตฟลิกซ์ที่เปิดมองได้ผ่าน ๆ ให้อบอุ่นหัวใจกับผลสรุปเท่านั้น