เป็นภาคที่ทายใจ

เป็นภาคที่ทายใจ โดราเอมอน เดอะมูฟวี่ ไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ สู่การค้นพบตัวตนใหม่

เป็นภาคที่ทายใจ โดราเอมอน เดอะมูฟวี่ ไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ ผลงานภาพยนตร์ลำดับที่ 40 ควบคุมโดย คาซุอากิ อิไม

เป็นภาคที่ทายใจ ร่วมกับคนเขียนบทอย่าง เกงคิ คาวามุระ (จากตอน เกาะมหาสมบัติของโนบิตะ) ที่จับนำเรื่องราวของไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ เดอะมูฟวี่ในปี 2006 มาสืบต่อเรื่องราวอย่างเป็นทางการ แล้วก็เป็นภาพยนตร์ขั้นตอนแรกของยุคราชวงศ์เรวะ เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของโดราเอมอน ได้เข้าฉายแล้วโดย เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ผ่าน เอ็ม พิคเจอร์

ซึ่งแย่หน่อยสำหรับที่ประเทศญี่ปุ่นที่จำต้องพบสถานการณ์โรคระบาดทำให้หนังจะต้องเลื่อนฉายจาก มี.ค. มาถึง ส.ค. แล้วก็เป็นโชคดีที่ไทยพวกเราได้วันฉายไม่ห่างตามธรรมดานัก (อย่าให้เอ่ยถึงโคนัน เดอะมูฟวี่ 24 โกรธแค้นที่เลื่อนไปฉายปีต่อไป)

เชื่อว่าก็จำเป็นต้องมั่นใจว่าโดราเอมอนจะอยู่คู่โลกมากมายว่า 5 ทศวรรษ มีการเสี่ยงภัยจำนวนมากที่เกิดขึ้นทั้งยังในจอของโทรศัพท์ รวมทั้งภาพยนตร์ รวมทั้งหนังสือการ์ตูน ซึ่งผ่านมากี่ครั้งก็ทำยอดจำหน่ายดีแล้วก็เป็นสุดที่รักของแฟนคลับน้องๆหนูๆทุกคน

ปีนี้พวกเราก็เลยได้ภาพยนตร์ภาคต่อทีแรกเป็นของขวัญให้กับการเฉลิมฉลองคราวนี้ ซึ่งรับรองอย่างเป็นทางการแล้วว่า มันเป็นภาคต่อ แม้กระนั้นมันต่อยังไง ผมอาจจะไม่ต้องบอกอะไรมากมาย ข่าวหนังใหม่

แต่ว่าความน่าดึงดูดใจของภาคนี้เป็นการให้พื้นที่กับไดโนเสาร์มีปีกที่เช้าใจกันว่าจะสามารถพัฒนาการเป็นอันอื่น อย่างจำพวกแร็พเตอร์ ซึ่งมิได้มาแทนที่พีซึเกะ แม้กระนั้นจะมาถ่ายทอดจักรวาลของโดราเอมอนให้ขยายกว้างมากยิ่งกว่าที่เป็นเพียงแค่ภาพยนตร์จบในตอนหรือในเรื่อง…เมื่อก่อนใกล้จะถึงที่ตรงนั้น

ไปอ่านเรื่องย่อกันเลยดีกว่า “ไม่กี่เดือนตอนหลังเรื่องราวใน ไดโนเสาร์ของโนบิตะ (2006) ในปี 2020 โนบิตะได้ศึกษาและทำการค้นพบไข่ไดโนเสาร์ที่ไม่เคยถูกพบมาก่อนนิทรรศการชั้นดินใกล้บ้าน ก่อนที่จะร่วมมือกับโดราเอมอนนำไข่ไปฟักตัวออกมาเป็นไดโนเสาร์จำพวกใหม่ที่โนบิตะได้มีสิทธิ์ตั้งชื่อสายพันธุ์ตามการศึกษาค้นพบใหม่นี้ว่า “โนบิซอรัส” ตั้งชื่อว่า “คิวและก็มิว”

อีกทั้งสามเริ่มผูกพันต่อกัน เปลี่ยนเป็นสายสัมจำพวกที่เหนียวแน่น เขาก็เลยตกลงใจจะดูแลและก็ป้องกันทั้งคู่ตัวให้ดีเยี่ยมที่สุด แต่ทว่าช่วงนี้ไม่ใช่สมัยที่เหมาะสมกับไดโนเสาร์ที่สิ้นพันธุ์ไปแล้วอย่างคิวและก็มิว

โนบิตะและก็ผองสหายก็เลยจะต้องพาคิวแล้วก็มิวกลับไปที่ปลายสมัยครีเทเชียส ซึ่งตรงนั้นเขาได้เจอกับความเป็นจริงบางสิ่งบางอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์โลกไปชั่วกัลปวสาน”

เป็นภาคที่ทายใจ

เป็นภาคที่ทายใจ วิทยาศาสตร์ขับย้ำยุคสมัย

เป็นภาคที่ทายใจ นี่นับว่าเป็นทีแรกที่เรื่องราวของโดราเอมอนฉบับภาพยนตร์มีการแทรกสอดวิชาความรู้ประวัติศาสตร์ไดโนเสาร์มากที่สุด ทั้งยังแทรกสอดจากฉากหรือการชี้แจงของโดราเอมอนที่เปรียบเหมือนเป็นไกด์พาทุกคนไปศึกษาร่วมกัน มีมุกตลกขบขันให้เด็กหัวเราะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมุกของดีเลิศถือไม่ถูกคราวนี้ขยี้หนักมากมาย ๆ

ในเวลาเดียวกันก็มีเหตุมีผลด้านวิทยาศาสตร์ที่มิได้เวอร์วังอย่างภาคก่อน โดยยิ่งไปกว่านั้นของยอดเยี่ยมที่การนำเสนอของภาคนี้มีความแตะต้องได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น เอาจริงเอาจังๆแล้ว ภาคนี้นับว่าเป็นภาคที่ทายใจเรื่องราวอะไรได้ง่ายดาย

โดยยิ่งไปกว่านั้นขั้นแรก ๆ แต่ว่าไอ้ความง่ายนี้ก็มักโดนตบหน้าหันเมื่อมันเฉลยคำตอบในฉากต่อๆมา ซึ่งเสมือนภาคนี้จะรู้สึกตัวเองดีว่าไม่สามารถที่จะดีเท่าได้อย่างภาคต้นอย่าง ไดโนเสาร์ของโนบิตะ มันก็เลยอัดแน่นไปด้วยสาระและก็รายละเอียดที่ค่อนจะเรียบง่ายและก็ไม่มีอันตราย

แม้กระนั้นก็ยังกล้ากล่าวหาซีเรียสรวมทั้งอารมณ์ที่อัดแน่นที่บังคับแบบที่โดราเอมอนเดอะมูฟวี่พักหลังๆทำหายไป ซึ่งเรียกได้เลยว่าเกิดเรื่องที่ใหญ่ที่สุดอีกประเด็นที่โดราเอมอนแล้วก็โนบิตะได้เผชิญมาอย่างยิ่งจริง ๆ ภาพยนตร์รักอกไม่หัก

ในเวลาเดียวกันก็มีความใส่เนื้อหาที่สำคัญมากๆในเกือบทุกฉาก พูดได้ว่าถ้าเกิดภาคก่อนดำเนินเรื่องเร็ว ภาคนี้จะใช้การเล่าแบบ เรียกว่าพองเลย แม้กระนั้นมิได้พองจนกระทั่งน่ารำคาญ เนื่องจากว่าฉากนั้นๆมันจะมีอะไรเชื่อมไปยังฉากถัดไปจริงๆและนับว่าเป็นภาคที่ผมร้องไห้ถึง 4 รอบ

สารภาพว่าส่วนประกอบของภาคนี้มิได้ไก่กาดังที่เคยถูกสบประมาทไว้เลย ทั้งมันยังเป็นจดหมายรักส่งให้ถึงผู้ที่เคยมองภาค 2006 ด้วย นักแสดงทุกตัวต่างมีพัฒนาการไปร่วมกัน เมื่อไม่มีนักแสดงใหม่ของภาคที่เป็นมนุษย์หลัก หนังก็เลยให้ความเอาใจใส่กับนักแสดงของเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวโนบิตะ ที่พวกเราจะได้มองเห็นมุมที่พวกเราเคยชิน

แต่ว่าคราวนี้มันจะเจาะลึกไปถึงสิ่งที่เขาคิด แล้วก็ความอุตสาหะของเขาที่น่าเชิดชูเยอะที่สุดของภาคนี้ เวลาที่โดราเอมอนก็เป็นตัวละครที่บางครั้งอาจจะไม่สะดุดตามากแค่ไหน เสมอเหมือนเป็นคุณคุณครูของโนบิตะ ด้วยเหตุว่าภาคนี้โนบิตะขอของยอดเยี่ยมโดราเอมอนเพียงแค่ครั้งเดียว ที่เหลือเขาจัดแจงเองหมด แถมแปลงเป็นตัวตลกไปด้วย

ในเวลาเดียวกัน ชิซึกะ ไจแอนท์ ซึเนะโอะ ยังเป็นเสมอเหมือนนักแสดงที่บางทีอาจจะไม่เด่นเท่าไรนัก แม้กระนั้นก็ยังรักษาหน้าที่สำหรับเพื่อการเกื้อหนุนแล้วก็ช่วยเหลือโนบิตะได้อย่างเดิม ที่เด่นสุดเป็นคิวนี่แหละ ไดโนเสาร์สีเขียวที่มีฉากซีนดีๆมากยิ่งกว่ามิวที่เป็นฝาแฝดร่วมกันซะอีก กระทั่งบางโอกาสก็รู้สึกว่าหากมีเพียงแค่คิวตัวเดียวก็คงจะเพียงพอ

แม้กระนั้นไม่ใช่ว่ามิวไม่เด่นนะ มิวก็น่ารักน่าเอ็นดูรวมทั้งเข้ากันกับชิซึกะให้มองเห็น แม้กระนั้นหนังไม่ให้ความเกี่ยวเนื่องกับโนบิตะมากมายเท่ามิว แม้กระนั้นก็ยังโปรยปรายเสน่ห์ความน่ารักน่าเอ็นดูพร้อมกันตามประสาสัตว์โลกสวย

ตอนที่ผู้แสดงใหม่ที่เป็นคนร้ายของภาคนี้ ดูเหมือนจะเป็นอะไรด้ามจับจำเป็นต้องง่ายที่สุดแล้วในเรื่อง เพราะว่าเจตนาของพวกเขาอาจจะส่งผลให้ผู้ชมจำเป็นต้องร้องอย่างยิ่งจริง ๆ แต่ว่านอกเหนือจากความพิเศษยังมีการปรับปรุงของผู้แสดงอีกด้วย ซึ่งหากพวกเรามองโดราเอมอนเดอะมูฟวี่ พวกเราจะมองไม่เห็นขั้นตอนการนี้สะดุดตาเท่าไร

แม้กระนั้นคราวนี้มันชี้ให้เห็นแล้วว่า ถึงโนบิตะจะอ่อนแอ ไม่เอาถ่าน แม้กระนั้นมนุษย์เราก็มิได้มีด้านเดียว มันมีด้านที่ถูกขับย้ำอย่างแจ่มชัดในยามต้อง เป็นเสมือนคำโปรยปรายที่ถูกแปลจนกระทั่งผมต้องการจับมาตั้งว่า สู่การศึกษาและทำการค้นพบตัวตนใหม่ ศึกษาค้นพบอย่างไร ทดลองไปพิสูจน์มองนะครับ

ภาพยนตร์รักอกไม่หัก

ดนตรีตระการตาสุดๆงานภาพแปลกแต่ว่าโอเค นักบรรยายไม่เคยแปรไปเลย

มั่นใจว่าคนอีกจำนวนไม่น้อยที่มองเห็นแบบอย่าง รวมทั้งผมอาจจะจะต้องอี๊กันพอเหมาะพอควรกับงานภาพรวมทั้งลายเซ็นที่มองแปลกและไม่งามเสมือนภาคก่อนที่จะชัดรวมทั้งลื่นไหล แม้กระนั้นพอเพียงไปดูในโรงจริงๆมันเป็นการเรนเดอร์ชนิดหนึ่งเพื่อการเคลื่อนไหวพริ้วไหวไม่มีมีสะดุด และก็มันก็ช่วยปรับมันมองมีความเป็นภาพยนตร์แบบคนแสดงแม้ว่าจะเป็นอนิเมชั่นก็ตาม

บอกตรง ๆ เลยว่าเพียงแค่อินโทรเปิดมาแล้วมีวงออร์เครสต้าเล่นเพลง ก็ขนลุกแล้ว เพราะว่าโดราเอมอนไม่เคยทำฉากอินโทรแบบงี้มาก่อน อยากที่จะให้ทุกคนไปเห็นมากับตาในโรง ฉากรวมทั้งซีจีไดโนเสาร์ที่ถูกปั้นขึ้นซ้อนกับงานภาพอาจจะทำให้พวกเราตะหงิดเล็ก ๆ แม้กระนั้นมิได้กระทบมากแค่ไหน สักครู่ก็คุ้นชิน ในเวลาเดียวกัน

ดนตรีของภาคนี้เด่นมากมาย เด่นกว่าภาคก่อน มันบิวท์อารมณ์พวกเราอยู่มือ และก็ทำให้พวกเราน้ำตาซึมในช่วงท้ายที่บอกเลยว่าคนไหนกันได้มองภาค 2006 มาจะร้องไห้หนักมากมายเสมือนผม แม้กระนั้นผู้ที่ไม่เคยมองมาก่อนก็สามารถมองภาคนี้ได้ โดยที่จำต้องเสียน้ำตาแน่นอนรวมทั้งแน่ ๆ ว่าเสียงบรรยายเก่ากลับมาครบกลุ่ม มีคนเก่ากลับมา แม้กระนั้นอาจจะไม่ต้องบอกอะไรมากมายในส่วนนี้

แม้กระนั้นเพลงประกอบอย่างที่ได้วง มิสเตอร์ ชิลเดรน วงป๊อบร็อคชื่อดัง มาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเพลง เบิร์ธเดย์ (วันเกิด) ซึ่งเป็นเพลงปิดของภาพยนตร์ภาคนี้ รวมทั้ง ฉันนั้นกำลังกล่าวอยู่เพียงลำพังให้คุณได้ยิน เพลงแทรกของภาพยนตร์ที่ขึ้นมาได้ตรงจังหวะสุด ๆ แล้วก็แปลดูดซับออกมาเรียกน้ำตาได้ไม่เสียชื่อเสียงวงอย่างยิ่งจริง ๆ เพราะว่าความอุตสาหะเปลี่ยนได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

แน่ ๆ ว่าโดราเอมอนในภาคนี้ อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีรายละเอียดการเสี่ยงภัยในโลกไดโนเสาร์ที่ไม่มีอะไรสะดุดตา ราวกับมาดูสารคดีสัตว์โลก หากเอ๋ยถึงการพบเจอปัญหาที่เข้ามาขวาง แม้กระนั้นสิ่งที่เด่นเป็น เรื่องของความพากเพียร เรื่องของประวัติศาสตร์ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลง ที่ถูกบอกกล่าวผ่านนักแสดงเด็ก ๆ อีกทั้ง 4 แล้วก็หุ่นยนต์แมวอีกหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่เป็นตัวร้ายของเรื่องบางครั้งก็อาจจะไม่ใช่ผู้ร้ายที่เข้ามากีดกัน แต่ว่าเป็นความกลัวและก็การหลีกเลี่ยงจากปัญหาที่กำลังพบเจอ

หนังพากเพียรขับย้ำในส่วนนี้ตลอดโดยใส่ภาพสะท้อนของสองผู้แสดงมาเป็นตัวเปรียบ และก็มันมีความลึกล้ำกว่าทุกภาค เพราะว่าเพียงแค่ 30 นาที คุณอาจจะร้องไห้ในตอนแรก อีกไม่กี่นาที คุณอาจจะร้องไห้ และก็ช่วงท้ายๆคุณอาจฟูมฟายออกมาหนักมากมายๆเพราะเหตุว่าภาพสะท้อนของนักแสดงกลุ่มนี้เป็นสิ่งที่หนังเพียรพยายามจะบอกว่า การเสี่ยงอันตราย มิได้คือการต่อสู้กับศัตรู แม้กระนั้นคือ การต่อสู้กับตนเองตะหาก

เสมือนที่นักแสดงหลักจำเป็นต้องพบเห็น กล่าวได้ว่าเป็นภาคที่มีคติที่ไม่ใช่แค่เด็กมอง แม้กระนั้นหากคนแก่มาดูบางทีอาจจะจำเป็นต้องตลึงกับความกลมกล่อมของบทของภาคนี้มากมายอย่างยิ่งจริง ๆ มันก็คือมีการชี้แจงราวกับเป็นสื่อการเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ รวมทั้งฉากค่อนข้างจะไม่แปลกใหม่ หากแม้ช่วงท้ายจะมีฉากอลังมากมายๆก็ตาม